ลงคะแนน | ก. แสดงความเห็นโดยลงเป็นคะแนน. |
คูหา | โดยอนุโลมใช้เรียกช่องที่กั้นไว้เป็นสัดส่วนสำหรับใช้ประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น คูหาลงคะแนนในที่เลือกตั้งสำหรับใช้ในการกาบัตรออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้ง. |
ประชามติ | มติของประชาชนที่รัฐให้สิทธิออกเสียงลงคะแนนรับรองร่างกฎหมายสำคัญที่ได้ผ่านสภานิติบัญญัติแล้ว หรือให้ตัดสินในปัญหาสำคัญในการบริหารประเทศ. (อ. referendum) |
ฝักถั่ว | น. การแสดงความอ่อนน้อม อ้อนวอน หรือขอร้องโดยวิธียกมือไหว้ เช่น มืออ่อนเป็นฝักถั่ว, การพลอยยกมือแสดงความเห็นชอบตามเขาไป มักใช้พูดตำหนินักการเมืองในเวลาลงคะแนนเสียง. |
ไพ่ไฟ | น. บัตรลงคะแนนเสียงเลือกตั้งที่ลงด้วยวิธีการทุจริต |
มติพิเศษ | น. มติของที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นของบริษัทจำกัด ที่ได้ลงมติด้วยคะแนนเสียงข้างมากไม่ต่ำกว่าสามในสี่ของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน. |
เลือกตั้ง | ก. เลือกสรรบุคคลให้เป็นผู้แทนหรือให้ดำรงตำแหน่งด้วยการออกเสียงลงคะแนน เช่น เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เลือกตั้งกรรมการ. |
สังเกตการณ์ | ก. เฝ้าดูหรือศึกษาเหตุการณ์หรือเรื่องราวพอรู้เรื่อง. น. เรียกผู้เข้าร่วมประชุมที่ไม่มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียง ว่า ผู้สังเกตการณ์. |
โหวต | (โหฺวด) ก. ออกเสียงลงคะแนน. |
ออกเสียง | ลงคะแนนเสียง |
ออกเสียง | ลงคะแนนเลือกตั้ง |
poll | ๑. การออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้ง๒. การหยั่งเสียง [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
poll | ๑. การหยั่งเสียง (ก. ปกครอง)๒. การออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้ง (ก. ปกครอง)๓. การลงคะแนนลับ (ก. แพ่ง) [นิติศาสตร์ ๑๑ มี.ค. ๒๕๔๕] |
pooling place | ที่ลงคะแนนเลือกตั้ง [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
protest vote | การออกเสียงลงคะแนนคัดค้าน [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
plural voting | การออกเสียงลงคะแนนได้หลายเสียง [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
paradox of voting | ผลการออกเสียงลงคะแนนที่แย้งกันในตัว [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
long ballot | การลงคะแนนเลือกตั้งหลายตำแหน่ง [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
limited vote | การลงคะแนนเสียงแบบจำกัด [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
record vote | ๑. การออกเสียงลงคะแนนโดยวิธีเรียกชื่อ๒. การได้คะแนนเสียงมากเป็นประวัติการณ์ [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
repeater | ผู้เวียนลงคะแนนเลือกตั้ง (หลายครั้ง) [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
show of hands | การลงคะแนนโดยวิธีชูมือ [นิติศาสตร์ ๑๑ มี.ค. ๒๕๔๕] |
secret ballot | การลงคะแนนเลือกตั้งลับ [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
short ballot | การลงคะแนนเลือกตั้งน้อยตำแหน่ง [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
absentee voting | การลงคะแนนเสียงโดยไม่ต้องไปที่หน่วยเลือกตั้ง [นิติศาสตร์ ๑๑ มี.ค. ๒๕๔๕] |
absentee voting | การลงคะแนนเลือกตั้งของผู้ไม่สามารถไป ณ ที่เลือกตั้ง [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
advisory ballot | การลงคะแนนหยั่งความนิยม [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
alternative vote | การออกเสียงลงคะแนนหลายรอบ [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
ballot, advisory | การลงคะแนนหยั่งความนิยม [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
ballot, long | การลงคะแนนเลือกตั้งหลายตำแหน่ง [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
ballot, secret | การลงคะแนนเลือกตั้งลับ [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
behaviour, voting | พฤติกรรมการลงคะแนนเลือกตั้ง [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
ballot | ๑. บัตรเลือกตั้ง๒. การลงคะแนนโดยใช้บัตร [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
ballot | การออกเสียงลงคะแนนด้วยบัตรเลือกตั้ง [นิติศาสตร์ ๑๑ มี.ค. ๒๕๔๕] |
ballot, short | การลงคะแนนเลือกตั้งน้อยตำแหน่ง [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
ballotage (Fr.) | การออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งหลายรอบ (ก. ฝรั่งเศส) [นิติศาสตร์ ๑๑ มี.ค. ๒๕๔๕] |
manageable voter | ผู้ออกเสียงลงคะแนนที่จัดมา [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
cross-voting | การลงคะแนนให้ฝ่ายอื่น [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
cumulative voting | ๑. การออกเสียงลงคะแนนแบบสะสม๒. การทุ่มคะแนนเสียง [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
cumulative voting | การออกเสียงลงคะแนนแบบสะสม, การทุ่มคะแนนเสียง [นิติศาสตร์ ๑๑ มี.ค. ๒๕๔๕] |
challenge, voting | การคัดค้านการออกเสียงลงคะแนน [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
compulsory voting | การออกเสียงลงคะแนนโดยบังคับ [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
complimentary vote | การลงคะแนนเพื่อให้เกียรติ [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
division | ๑. กอง (หน่วยงาน)๒. กองพล๓. การแบ่งพวก (ลงคะแนนเสียง) [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
division | ๑. กอง, กองพล (ทหาร) (ก. ปกครอง)๒. การแบ่งพวก (ลงคะแนนเสียง) (ก. รัฐธรรมนูญ) [นิติศาสตร์ ๑๑ มี.ค. ๒๕๔๕] |
free vote | การลงคะแนนโดยเสรี [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
independent voter | ผู้ออกเสียงลงคะแนนอิสระ [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
vote | ๑. การออกเสียงลงคะแนน๒. การลงมติ, การออกเสียงลงมติ [นิติศาสตร์ ๑๑ มี.ค. ๒๕๔๕] |
vote, complimentary | การลงคะแนนเพื่อให้เกียรติ [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
voting, absentee | การลงคะแนนเลือกตั้งของผู้ไม่สามารถไป ณ ที่เลือกตั้ง [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
voting, compulsory | การออกเสียงลงคะแนนโดยบังคับ [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
voting, cumulative | ๑. การออกเสียงลงคะแนนแบบสะสม๒. การทุ่มคะแนนเสียง [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
voting, cumulative | การออกเสียงลงคะแนนแบบสะสม, การทุ่มคะแนนเสียง [นิติศาสตร์ ๑๑ มี.ค. ๒๕๔๕] |
voting, plural | การออกเสียงลงคะแนนได้หลายเสียง [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
vote | ๑. การออกเสียง, การออกเสียงลงคะแนน, การลงคะแนนเสียง๒. การลงมติ, มติ๓. คะแนนเสียง [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
voter, independent | ผู้ออกเสียงลงคะแนนอิสระ [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
voter, manageable | ผู้ออกเสียงลงคะแนนที่จัดมา [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
voting behaviour | พฤติกรรมการลงคะแนนเลือกตั้ง [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
voting by ballot | การลงคะแนนโดยใช้บัตร [นิติศาสตร์ ๑๑ มี.ค. ๒๕๔๕] |
voting challenge | การคัดค้านการออกเสียงลงคะแนน [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
vote, protest | การออกเสียงลงคะแนนคัดค้าน [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔] |
Voting | การลงคะแนนเสียง [TU Subject Heading] |
Amendments to the Charter of the United Nations | การแก้ไขกฎบัตรสหประชาชาติ กฎบัตรของสหประชาชาตินั้น เปิดโอกาสให้มีการแก้ไขได้โดยสมัชชาสหประชาชาติหรือโดยที่ประชุมใหญ่ (General Conference) ของสมาชิกสหประชาชาติ ซึ่งอาจจะประชุมกัน ณ วันเวลาและสถานที่ตามแต่จะมีการตกลงกัน โดยคะแนนเสียง 2 ใน 3 ส่วนของสมัชชาใหญ่ และโดยคะแนนเสียงของสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงใด ๆ 7 เสียง ในที่ประชุมใหญ่นั้น สมาชิกแต่ละประเทศของสหประชาชาติจะมีเสียงลงคะแนน 1 เสียงการที่จะแก้ไขกฎบัตรสหประชาชาติให้เป็นผลสำเร็จ จะต้องได้เสียงสนับสนุนจากสมาชิกเป็นจำนวน 2 ใน 3 ส่วนของสมาชิกทั้งหมดในสมัชชาหรือจากที่ประชุมใหญ่ เมื่อการแก้ไขกฎบัตรเป็นที่รับรองแล้ว จะมีผลบังคับต่อสมาชิกทั้งหมดของสหประชาชาติ ก็ต่อเมื่อได้รับการสัตยาบันจากสมาชิก 2 ใน 3 ส่วนของจำนวนทั้งหมด รวมทั้งการรับรองจากสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงด้วยอาทิเช่น ในสมัยประชุมที่ 18 ของสมัชชาใหญ่ การแก้ไขกฎบัตรได้รับการรับรองเห็นชอบด้วย โดยผ่านข้อมติที่ 1991 (XVII) ในการแก้ไขครั้งนี้ได้เพิ่มจำนวนสมาชิกของคณะมนตรีความมั่นคงจาก 11 เป็น 15 คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมจาก 18 เป็น 27 ประเทศ การแก้ไขดังกล่าวได้รับการลงมติรับรองเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 1963 ในปัจจุบันนี้ ประเทศสมาชิกเป็นจำนวนมากกำลังเรียกร้องให้มีการปรับจำนวนสมาชิกถาวรของคณะ มนตรีความมั่นคงเสียใหม่ [การทูต] |
Commission on Human Rights | คณะกรรมาธิการว่าด้วยสิทธิมนุษยชน แต่งตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1946 ตามมติของคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมของสหประชาชาติ มีหน้าที่รับผิดชอบในการเสนอข้อเสนอแนะและรายงานการสอบสวนต่าง ๆ เกี่ยวกับประเด็นปัญหาสิทธิมนุษยชนไปยังสมัชชา (General Assembly) สหประชาชาติ โดยผ่านคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม คณะกรรมาธิการประกอบด้วยผู้แทนประเทศสมาชิก 53 ประเทศ ซึ่งได้รับเลือกตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่ตามวาระ 3 ปี มีการประชุมกันทุกปี ปีละ 6 สัปดาห์ ณ นครเจนีวา และเมื่อไม่นานมานี้ คณะกรรมาธิการได้จัดตั้งกลไกเพื่อให้ทำหน้าที่สอบสวนเกี่ยวกับปัญหาสิทธิ มนุษยชนเฉพาะในบางประเทศ กลไกดังกล่าวประกอบด้วยคณะทำงาน (Working Groups) ต่าง ๆ รวมทั้งเจ้าหน้าที่พิเศษที่สหประชาชาติแต่งตั้งขึ้น (Rapporteurs) เพื่อให้ทำหน้าที่ศึกษาและสอบสวนประเด็นปัญหาสิทธิมนุษยชนโดยเฉพาะในบาง ประเทศมีเรื่องน่าสนใจคือ ใน ค.ศ. 1993 ได้มีการประชุมในระดับโลกขึ้นที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ซึ่งแสดงถึงความพยายามของชุมชนโลก ที่จะส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นมูลฐานไม่ว่าที่ไหน ในระเบียบวาระของการประชุมดังกล่าว มีเรื่องอุปสรรคต่างๆ ที่เห็นว่ายังขัดขวางความคืบหน้าของการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชน รวมทั้งการหาหนทางที่จะเอาชนะอุปสรรคเหล่านั้น เรื่องความเกี่ยวพันกันระหว่างการพัฒนาลัทธิประชาธิปไตย และการให้สิทธิมนุษยชนทั่วโลก เรื่องการท้าทายต่างๆ ที่เกิดขึ้นใหม่ ซึ่งทำให้ไม่อาจปฏิบัติให้บรรลุผลอย่างสมบูรณ์ในด้านสิทธิมนุษยชน เรื่องการหาหนทางที่จะกระชับความร่วมมือระหว่างประเทศในด้านสิทธิมนุษยชน และการที่จะส่งเสริมศักยภาพของสหประชาชาติในการดำเนินงานในเรื่องนี้ให้ได้ ผล ตลอดจนเรื่องการหาทุนรอนและทรัพยากรต่างๆ เพื่อใช้ในการปฏิบัติงานดังกล่าวในการประชุมระดับโลกครั้งนี้มีรัฐบาลของ ประเทศต่างๆ บรรดาองค์กรของสหประชาชาติ สถาบันต่างๆ ในระดับประเทศชาติ ตลอดจนองค์การที่มิใช่ของรัฐบาลเข้าร่วมรวม 841 แห่ง ซึ่งนับว่ามากเป็นประวัติการณ์ ช่วงสุดท้ายของการประชุมที่ประชุมได้พร้อมใจกันโดยมิต้องลงคะแนนเสียง (Consensus) ออกคำปฏิญญา (Declaration) แห่งกรุงเวียนนา ซึ่งมีประเทศต่าง ๆ รับรองรวม 171 ประเทศ ให้มีการปฏิบัติให้เป็นผลตามข้อเสนอแนะต่างๆ ของที่ประชุม เช่น ข้อเสนอแนะให้ตั้งข้าหลวงใหญ่เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนหนึ่งตำแหน่งให้มีการรับ รู้และรับรองว่า ลัทธิประชาธิปไตยเป็นสิทธิมนุษยชนอันหนึ่ง ซี่งเป็นการเปิดโอกาสให้ลัทธิประชาธิปไตยได้รับการสนับสนุนส่งเสริมให้มั่น คงยิ่งขึ้น รวมทั้งกระชับหลักนิติธรรม (Rule of Law) นอกจากนี้ยังมีเรื่องการรับรองว่า การก่อการร้าย (Terrorism) เป็นการกระทำที่ถือว่ามุ่งทำลายสิทธิมนุษยชน ทั้งยังให้ความสนับสนุนมากขึ้นในนโยบายและแผนการที่จะกำจัดลัทธิการถือเชื้อ ชาติและเผ่าพันธุ์ การเลือกปฏิบัติเกี่ยวกับเชื้อชาติ การเกลียดคนต่างชาติอย่างไร้เหตุผล และการขาดอหิงสา (Intolerance) เป็นต้นคำปฎิญญากรุงเวียนนายังชี้ให้เห็นการล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชน อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (Genocide) และการข่มขืนชำเราอย่างเป็นระบบ (Systematic Rape) เป็นต้น [การทูต] |
International Court of Justice | ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือที่เรียกกันอย่างไม่เป็นทางการว่า ศาลโลก ตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1945 ตามกฎบัตรขององค์การสหประชาชาติ กฎข้อบังคับ (Statute) ของศาลโลกนั้นได้ผนวกอยู่ท้ายกฎบัตรของสหประชาชาติ และถือเป็นส่วนสำคัญอย่างแยกจากกันมิได้ของกฎบัตร ศาลนี้ตั้งอยู่ ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ถือเป็นองค์กรแห่งศาลหรือแห่งตุลาการสำคัญที่สุดขององค์การสหประชาชาติ ประเทศใดที่เข้าเป็นภาคีของกฎข้อบังคับของศาลโลก ย่อมมีสิทธิที่จะส่งคดีใดก็ตามไปให้ศาลโลกพิจารณาได้ ภายใต้เงื่อนไขที่คณะมนตรีความมั่นคงได้จัดวางไว้ นอกจากนั้น คณะมนตรีความมั่นคงก็อาจจะส่งกรณีพิพาททางกฎหมายไปให้ศาลพิจารณาได้ทั้ง สมัชชาและคณะมนตรีความมั่นคงสามารถขอคำปรึกษาหรือความเห็นจากศาลเกี่ยวกับ ปัญหาข้อกฎหมายใดๆ และองค์กรอื่น ๆ ของสหประชาชาติ อันรวมถึงองค์การชำนัญพิเศษ ก็สามารถขอคำปรึกษา หรือความเห็นเกี่ยวกับประเด็นปัญหาทางกฎหมายใดๆ ที่อยู่ภายในกรอบของงานที่ปฏิบัติอยู่ แต่ทั้งนี้ ต้องได้รับอนุมัติเห็นชอบจากสมัชชาสหประชาชาติก่อน สมัชชาเคยมอบอำนาจเช่นนี้แก่คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม คณะมนตรีภาวะทรัสตี คณะกรรมาธิการระหว่างกาล (Interim Committee) ของสมัชชา รวมทั้งองค์กรระหว่างรัฐบาลบางแห่งด้วยรัฐทั้งหมดที่เป็นสมาชิกของสหประชา ชาติถือว่าเป็นภาคีของกฎข้อบังคับของศาลโลกไปในตัว ส่วนประเทศใดที่มิใช่เป็นสมาชิกของสหประชาชาติ ก็อาจเป็นภาคีของกฎข้อบังคับของศาลโลกได้ ตามเงื่อนไขที่สมัชชาสหประชาชาติเป็นผู้กำหนดเป็นราย ๆ ไป ตามข้อเสนอแนะของคณะมนตรีความมั่นคง ศาลโลกมีอำนาจที่จะพิจารณาปัญหาทั้งหลายที่รัฐสมาชิกขอให้พิจารณา รวมทั้งเรื่องอื่น ๆ ทั้งหลายที่ระบุอยู่ในกฎบัตรสหประชาชาติ และตามสนธิสัญญาหรืออนุสัญญาที่ใช้บังคับอยู่ รัฐสมาชิกย่อมยอมผูกพันตนล่วงหน้าได้ที่จะยอมรับอำนาจศาลในกรณีพิเศษต่าง ๆ โดยจะต้องลงนามในสนธิสัญญา หรืออนุสัญญาซึ่งยอมให้ส่งเรื่องไปที่ศาลได้ หรือออกประกาศเป็นพิเศษว่าจะปฏิบัติเช่นนั้น ในคำประกาศเช่นนั้นจะต้องระบุว่ายอมรับอำนาจบังคับของศาลโลก และอาจจะยกเว้นคดีบางประเภทมิให้อยู่ในอำนาจของศาลได้ ในการวินิจฉัยลงมติ ศาลโลกจะอาศัยแหล่งที่มาของกฎหมายต่าง ๆ ดังนี้ คือ- สัญญาหรืออนุสัญญาระห่างประเทศซึ่งวางกฎข้อบังคับที่รัฐคู่กรณียอมรับ- ขนบธรรมเนียมระหว่างประเทศซึ่งมีหลักฐานแสดงว่าเป็นหลักปฏิบัติทั่วไปตามที่ กฎหมายรับรองศาลโลกอาจจะตัดสินชี้ขาดว่าสิ่งใดยุติธรรมและดี โดยรัฐภาคีที่เกี่ยวข้องตกลงเห็นชอบด้วยคณะมนตรีความมั่นคงอาจจะรับการขอ ร้องจากรัฐภาคีหนึ่งใดในกรณีพิพาท ให้กำหนดมาตรการที่จะใช้เพื่อให้คำตัดสินของศาลมีผลบังคับ ถ้าคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอมปฏิบัติตามข้อผูกพันภายใต้อำนาจศาลศาลโลก ประกอบด้วยผู้พิพากษารวม 15 ท่าน ซึ่งถือกันว่าเป็น ?สมาชิก? ของศาล และได้รับเลือกตั้งจากสมัชชาและคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ ผู้พิพากษาเหล่านี้จะมีอำนาจออกเสียงลงคะแนนอย่างอิสระเสรีหลักเกณฑ์การคัด เลือกผู้พิพากษาศาลโลกจะถือตามคุณสมบัติขอผู้พิพากษานั้น ๆ มิใช่ถือตามสัญชาติของบุคคลดังกล่าว อย่างไรก็ดี จะมีการระมัดระวังด้วยว่า กฎหมายที่นำมาใช้ในศาลจะต้องมาจากระบบกฎหมายที่สำคัญ ๆ ของโลก ในศาลโลกจะมีผู้พิพากษาที่เป็นชาติเดียวกันมากกว่าหนึ่งคนไม่ได้ ผู้พิพากษาทั้งหลายจะมีสิทธิ์ดำรงอยู่ในตำแหน่งได้ เป็นเวลา 9 ปี มีสิทธิ์ได้รับเลือกตั้งซ้ำได้ และระหว่างที่ดำรงอยู่ในตำแหน่ง จะต้องไม่ประกอบอาชีพการงานอื่นใดทั้งสิ้น [การทูต] |
negative vote | ลงคะแนนเสียงคัดค้าน [การทูต] |
Voting Procedure in the United Nations | วิธีการลงคะแนนเสียงในที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ในเรื่องนี้ สมาชิกแต่ละประเทศมีคะแนนเสียง 1 คะแนน ข้อมติของสมัชชาในปัญหาสำคัญ (Important Questions) จะกระทำโดยถือคะแนนเสียงข้างมาก 2 ใน 3 ของสมาชิกที่มาประชุมและออกเสียง ที่เรียกว่าปัญหาสำคัญนั้นได้แก่ ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการธำรงรักษาไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ การเลือกตั้งสมาชิกไม่ประจำของคณะมนตรีความมั่นคง การเลือกตั้งสมาชิกของคณะมนตรีเศรษฐกิจและการสังคม การเลือกตั้งสมาชิกของคณะมนตรีภาวะทรัสตี การรับสมาชิกใหม่ของสหประชาชาติ การงดใช้สิทธิและเอกสิทธิแห่งสมาชิกภาพ การขับไล่สมาชิก ปัญหาการดำเนินงานของระบบภาวะทรัสตี และปัญหางบประมาณ คำวินิจฉัยปัญหาอื่น ๆ รวมทั้งการกำหนดประเภทแห่งปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยด้วยคะแนนเสียงข้างมาก 2 ใน 3 เพิ่มเติมนั้น จัดกระทำโดยอาศัยคะแนนเสียงข้างมากของสมาชิกที่มาประชุมและออกเสียงอนึ่ง ในการเลือกตั้งผู้พิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งจักต้องได้รับคะแนนเสียงข้างมากเด็ดขาด (Absolute majority) ในที่ประชุมของสมัชชาและในที่ประชุมของคณะมนตรีความมั่นคงด้วย นอกจากนี้สมาชิกสหประชาชาติที่ค้างชำระค่าบำรุงแก่องค์การ ย่อมไม่มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงในสมัชชา ถ้าหากจำนวนเงินที่ค้างชำระเท่าหรือมากกว่าจำนวนเงินค่าบำรุงที่ถึงกำหนด ชำระสำหรับ 2 ปีเต็มที่ล่วงมา อย่างไรก็ตาม สมัชชาอาจอนุญาตให้สมาชิกเช่นว่านั้นลงคะแนนเสียงก็ได้ ถ้าทำให้เป็นที่พอใจได้ว่า การไม่ชำระนั้น เนื่องมาจากภาวะอันอยู่นอกเหนืออำนาจควบคุมของสมาชิกนั้น [การทูต] |
บัตรลงคะแนน | [bat long khanaēn] (n, exp) EN: ballot ; voting slip ; ballot paper FR: bulletin de vote [ m ] |
จำนวนผู้ออกมาลงคะแนน | [jamnūan phū øk mā long khanaēn] (xp) EN: turnout FR: taux de participation (électorale) [ m ] |
การลงคะแนนเสียง | [kān long khanaēnsīeng] (n, exp) EN: voting FR: vote |
การสำรวจความคิดเห็นจากประชาชนที่เพิ่งลงคะแนนเสร็จสด ๆ ร้อน ๆ | [kān samrūat khwām khithen jāk prachāchon thī phoeng longkhanaēn set sot-sot røn-røn] (xp) EN: exit poll FR: sondage effectué à la sortie des bureaux de vote [ m ] |
ลงคะแนน | [longkhanaēn] (v) EN: vote ; ballot ; elect ; cast a ballot FR: voter ; élire ; exprimer son suffrage |
ลงคะแนนเลือกตั้ง | [longkhanaēn leūaktang] (v) EN: vote ; ballot FR: voter |
ลงคะแนนเสียง | [long khanaēnsīeng] (v, exp) EN: vote for ; elect ; cast one's vote ; ballot ; opt FR: voter pour ; élire ; choisir |
ไม่ลงคะแนน | [mai long khanaēn] (v, exp) EN: cast a blank vote FR: voter blanc ; ne pas exprimer de vote |
ออกเสียงลงคะแนน | [øksīeng longkhanaēn] (v, exp) FR: voter |
ออกไปลงคะแนน | [pai longkhanaēn] (v, exp) EN: go to the polls FR: aller voter ; se rendre aux urnes |
ผู้ลงคะแนน | [phū long khanaēn] (n) EN: voter FR: électeur [ m ] ; électrice [ f ] ; votant [ m ] ; votante [ f ] |
ผู้มีสิทธิ์ลงคะแนน | [phū mī sit longkhanaēn] (n, exp) EN: constituent FR: électeur [ m ] ; électrice [ f ] |
ผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง | [phū mī sit long khanaēnsīeng leūaktang] (xp) EN: elector ; qualified voter ; constituent FR: électeur [ m ] ; électrice [ f ] |
abstain | (vi) ไม่ลงคะแนนเสียง, See also: นอนหลับทับสิทธิ์ |
ballot | (n) วิธีลงคะแนนเสียงแบบลับ, Syn. election |
ballot | (vi) ลงคะแนน, See also: ออกเสียงลงคะแนน, จับสลาก, Syn. vote |
ballot box | (n) หีบหรือกล่องใส่บัตรลงคะแนน, Syn. polling place, polling booth |
ballot paper | (n) ใบลงคะแนน |
ballot for | (phrv) ออกเสียงให้, See also: ลงคะแนนเสียงให้ |
casting vote | (n) การลงคะแนนตัดสินโดยผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบการประชุมเนื่องจากแต่ละฝ่ายมีคะแนนเท่ากัน |
caucus | (n) การประชุมของสมาชิกหรือกลุ่มผู้นำของพรรคการเมืองเพื่อลงคะแนนเลือกหรือวางแผนทางการเมือง |
go to the polls | (idm) ลงคะแนนเสียง |
show of hands | (idm) ลงคะแนน |
plebiscite | (n) การลงคะแนนเสียงชี้ขาดโดยประชาชนทั่วไป, Syn. poll, referendum, vote |
poll | (vt) ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง, See also: ออกเสียงเลือกตั้ง, ออกเสียงลงคะแนน, Syn. ballot |
poll | (vi) ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง, See also: ออกเสียงเลือกตั้ง, ออกเสียงลงคะแนน, Syn. ballot |
put in | (phrv) เลือกตั้ง, See also: ลงคะแนนเลือก, Syn. get in |
scorecard | (n) บัตรลงคะแนน, See also: บัตรบันทึกคะแนน, บัตรบันทึกผู้เข้าร่วมแข่งขัน |
suffrage | (n) การออกเสียงเลือกตั้ง, See also: การลงคะแนนเสียง, Syn. election, vote |
suffragette | (n) ผู้หญิงที่ปลุกระดมให้คนอื่นไปลงคะแนนเสียง |
vote through | (phrv) ออกเสียงให้ผ่าน, See also: ลงคะแนนเสียงผ่าน, ยอมให้ผ่าน |
vote with | (phrv) ออกเสียงเหมือน, See also: ลงคะแนนให้ บางคน / บางกลุ่ม เหมือนกับ |
vote | (n) การลงคะแนนเสียง, See also: การออกเสียง, Syn. polling, referendum |
vote | (vt) ลงคะแนน, See also: ออกเสียง, ลงคะแนนเสียง |
vote | (vi) ลงคะแนน, See also: ออกเสียง, ลงคะแนนเสียง |
voter | (n) ผู้ออกเสียง, See also: ผู้ลงคะแนนเสียง, Syn. electorate, elector |
write-in | (n) การลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อ, See also: ทางการเมือง |
absentee vote | การลงคะแนนของผู้ไม่อยู่ (ทางไปรษณีย์) -absentee voter., n. |
abstain | (แอบสเทน') vt. ละเว้น, ไม่ลงคะแนนเสียง, ไม่ฟุ่มเฟือยในการกินและดื่ม, อดเหล้า, สละสิทธิ์ -abstainer n., Syn. forbear, desist |
ballot | (แบล'เลิท) n. บัตรเลือกตั้ง, จำนวนผู้ลงคะแนน, รายชื่อคนลงคะแนน vi. ลงคะแนนด้วยบัตรลับ, จับฉลาก, See also: balloter n. |
cloture | (โคล'เชอะ) { clotured, cloturing, clotures } n. วิธีการปิดการอภิปรายและให้มีการลงคะแนนเสียงทันที vt., vi. ปิดการอภิปราย |
plebiscite | (เพลบ'บิไซทฺ) n. การลงคะแนนเสียงโดยประชาชนทั่วไป, See also: plebiscitary adj. |
poll | (โพล) n. การลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง, รายชื่อผู้ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง, บุคคลที่ปรากฎในรายชื่อ, การสำรวจความคิดเห็นของคนจำนวนมาก -vi., vi. ได้รับคะแนนเลือกตั้ง, ออกเสียงลงคะแนน, สำรวจความคิดเห็น, |
votable | (โว'ทะเบิล) adj. ลงคะแนนได้, มีสิทธิเลือกตั้ง, นำไปลงมติได้. |
vote | (โวทฺ) n. การออกเสียง, การเลือกตั้ง, คะแนนเสียง, บัตรคะแนนเสียง, สิทธิการออกเสียง, จำนวนคะแนนเสียง, มติ vt., vt. ออกเสียง, ลงคะแนนเสียง, เลือกตั้ง, ลงมติ, เสนอ |
voter | (โว'เทอะ) n. ผู้ลงคะแนนเสียง, ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง |
write-in | (ไรทฺ'อิน) n., adj. การลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ไม่ใช่คนเดิมในรายชื่อ |
ballot | (n) บัตรลงคะแนน, บัตรเลือกตั้ง, การลงคะแนนเสียง |
ballot | (vt) ลงคะแนน |
constituency | (n) ผู้ลงคะแนนเสียง, ผู้เลือกตั้ง, เขตเลือกตั้ง |
franchise | (n) สิทธิลงคะแนนเสียง, สัมปทาน, สิทธิพิเศษ |
plebiscite | (n) การลงคะแนนเสียงทั้งประเทศ |
poll | (vi) ลงคะแนนเสียง, ออกเสียงเลือกตั้ง |
polls | (n) คอกลงคะแนน |
tally | (vt) นับ, ลงคะแนน, ตรงกัน |
vote | (vi, vt) ลงคะแนนเสียง, ลงมติ, เลือกตั้ง |
voter | (n) ผู้ลงคะแนนเสียง, ผู้เลือกตั้ง |